หนวยที่ 2 การทดสอบแรงกระแทกแบบชาร์ปี้ |
วัตถุประสงค์ หน่วยการเรียนที่ 2 การทดสอบแรงกระแทกแบบชาร์ปี้ |
1. ผู้เรียนสามารถบอกความสำคัญของการทดสอบแรงกระแทกแบบชาร์ปี้ |
2. ผู้เรียนสามารถบอกหลักการทดสอบแรงกระแทกแบบชาร์ปี้ |
3. ผู้เรียนสามารถบอกส่วนประกอบการทดสอบแรงกระแทกแบบชาร์ปี้ี้ |
4. ผู้เรียนสามารถบอกขั้นตอนของการทดสอบแรงกระแทกแบบชาร์ปี้ |
5. ผู้เรียนสามารถบอกข้อควรระวังในการทดสอบแรงกระแทกแบบชาร์ปี้ |
1. ความสาคัญการทดสอบแรงกระแทกแบบชาร์ปี้ ในการเลือกใช้วัสดุสาหรับงานบางประเภท วิศวกรจำเป็นต้องทราบถึงคุณสมบัติความเหนียว (Toughness) ของวัสดุเพื่อประเมินโอกาสการแตกหักเสียหาย และความปลอดภัยในขณะใช้งานในสภาวะต่าง ๆ เช่นการใช้งานเหล็กกล้าทนสึกของรถดัมพ์ที่ต้องรับแรงกระแทกจากการบรรทุกหิน เหล็กกล้า เครื่องมืองานร้อนหรือเหล็กสำหรับงานท่อความดันที่ใช้ในอุณหภูมิต่ำ เป็นต้น ความเหนียว (Toughness) คือ ความสามารถของวัสดุที่จะดูดซับพลังงานไว้ได้โดยไม่เกิดการแตกหัก ความเหนียวมีความสัมพันธ์กับความแข็งแรง และความสามารถในการยืดตัวของวัสดุ เนื่องจากโดยทั่วไปเรามักจะประเมินค่าความเหนียวจาก Modulus of Toughness ซึ่งกำหนดให้มีค่าเท่ากับพื้นที่ใต้เสันโค้งความเค้น(a) ความเครียด (b) ที่ได้จากการทดสอบแรงดึง (Tensile test) ดังแสดงในรูปที่ 27ซึ่งค่า Modulus of Toughness นี้ จะแสดงถึงพลังงานต่อหน่วยปริมาตรของวัสดุที่ต้องใช้ในการทำให้วัสดุเกิดการแตกหักเสียหาย วัสดุที่มีความเหนียวสูงกว่าจะใช้พลังงานต่อหน่วยปริมาตรของวัสดุที่สูงกว่าในการทำให้วัสดุเกิดการแตกหักเสียหาย วิธีการทดสอบความเหนียวที่นิยมใช้ คือ การทดสอบแรงกระแทก (Impact Test) ซึ่งเป็นการทดสอบ เพื่อหาการวัดค่า Impact Energy, Impact Transition Temperature (ITT) และศึกษาผิวรอยแตก (Fracture Surface) ของวัสดุ โดยการตีชิ้นทดสอบขนาดมาตรฐานจนเกิดการแตกหัก จุดประสงค์ในการทำการทดสอบ เพื่อศึกษาเกี่ยวกับความสามารถในการรับแรงกระแทก (Dynamic Load) ของวัสดุ สำหรับค่าที่นิยมวัดมากที่สุดในการทดสอบแรงกระแทก คือ ค่า Impact Energy ซึ่งหมายถึงพลังงานที่วัสดุดูดซับไว้ได้เมื่อได้รับแรงกระแทก (Dynamic Impact Force) จนเกิดการแตกหัก โดยมีวิธีการทดสอบมีอยู่ 2 วิธี ได้แก่ Charpy Impact Test และ Izod Impact Test เครื่องมือทดสอบทั้ง 2 ชนิดนี้แสดงไว้ในรูปที่ 28 วิธีการทดสอบของทั้ง 2 ชนิดนี้คล้ายกัน คือ จะวางชิ้นงานทดสอบไว้รับแรงกระแทกจากการเหวี่ยงของลูกตุ้มที่น้ำหนักค่าหนึ่ง (น้ำหนัก และขนาดของตุ้มเหวี่ยงจะต้องเป็นไปตามที่มาตรฐานที่เลือกใช้ในการทาการทดสอบระบุไว้) พลังงานที่กระแทกชิ้นทดสอบกับชิ้นที่อยู่กับมวลของลูกตุ้ม และความเร็วของมันขณะกระแทก จุดกระแทกจะเป็นจุดต่ำสุดของการเหวี่ยง ซึ่งเป็นจุดที่ลูกตุ้มมีความเร็วสูงที่สุด เมื่อลูกตุ้มกระทบชิ้นทดสอบ ลูกตุ้มจะเสียพลังงานไปจำนวนหนึ่ง ในการทำให้ชิ้นทดสอบหัก ค่าพลังงานที่เสียไปนี้ก็ คือ ค่า Impact Energy นั่นเอง มีหน่วยเป็น ฟุต- ปอนด์
ข้อแตกต่างระหว่าง Charpy และ Izod คือ การวางชิ้นงานทดสอบ โดย Charpy test จะวางชิ้นทดสอบไว้ในแนวระดับ และให้ลูกตุ้มตกกระแทกที่ด้านตรงข้ามกับรอยบาก ส่วน Izod Test จะวางชิ้นทดสอบไว้ในแนวตั้ง และให้ลูกตุ้มกระแทกกับด้านที่มีรอยบาก
|